วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คำศัพท์ญี่ปุ่นง่ายๆ

คำศัทพ์
                         あに     Ani                               พี่ชาย
あね                         Ane                              พี่สาว
ゆき                         Yuki                             หิมะ
まど                         Mado                           หน้าต่าง
まち                         Machi                           เมือง, ถนน
にわ                         Niwa                           สวน
とり                         Tori                             นก
もり                         Mori                            ป่า
うみ                         Umi                             ทะเล
あし                         Ashi                             เท้า, ขา
                             Te                                มือ
かぎ                         Kagi                             กุญแจ  
だれ                         Dare                             ใคร
なまえ                     Namae                          ชื่อ
ぼく                         Boku           ผม (เด็กผู้ชายใช้เรียกแทนตัวเอง)
わたし                     Watashi                        ฉัน
みみ                         Mimi                            หู
                             Me                                ตา
おなか                     Onaka                          ท้อง
かさ                         Kasa                             ร่ม


เพื่อนและครอบครัว

ความหมายของคำว่าเพื่อนและครอบครัว มันมีค่ามาก ถึงมากที่สุด
เพราะเราจะหาเพื่อนที่ดีกับเราไม่ได้เลย ถ้าเราไม่มีมนุษย์สัมพันธที่ดี และคนทุกคนก็ชอบที่จะมีคนเดินเข้ามาถามว่า "ดีดี เธอชื่ออะไรหรอ" นี่คือ มิตรภาพที่ดี อย่างแรกเลยที่เราจะได้เพื่อนใหม่ที่เข้ามาในชีวิต คำว่าเพื่อนสำคัญกับเรา ไม่ว่าจะอยู่ใน สุข เศร้า เสียใจ ดีใจ  ข้างกาย ณ.ตอนนั้น ก็จะมีเพื่อน และครอบครัวที่อยู่ข้างกายเรา แต่เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อเราไม่มีใครเลยที่จะคอยช่วยเรา และไม่มีใครที่อยู่ข้างกาย เราก็จะเจอกับความรักที่แท้จริงที่เราไม่ต้องไปพยายามหาที่ไหน นั้นก็คือ ครอบครัว เค้าจะคอยอยู่กับเราไม่ว่าจะทุกข์ หรือ สุข เค้าก็ไม่เคยทิ้งเราเลยแม้แต่ครั้งเดียว ...
หลายคนพยายามหาความรักที่อาจจะต้องเหนื่อยกว่าเป็นพันไมล์ แต่ถ้าเราหันกลับไปมองคนที่อยู่ด้านหลังจะมีคนที่รักเรามาตั้งแต่เกิดอยู่แค่ 2คน คือ พ่อ และ แม่ พอโตมาอีกหน่อยเราก็เริ่มมีเพื่อนที่เข้ามาในชีวิต หลายอย่างที่มันผ่านมาและผ่านไป แต่ว่าสองสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ ครอบครัวที่เที่ยงแท้ และ เพื่อนที่แท้จริง.......

การปลูกส้ม

เนื่องจาก คนทำบล็อกเป็นคนชอบกินส้มเลยหาวิธีการปลูกมาให้ เพื่อใครจะใจดี ปลูกให้เรากิน
มาเรียนรู้การปลูกส้มกันได้เลย
วิธีการปลูก
                    1) ควรใช้ต้นพันธุ์ส้มปลอดโรค หรือต้นที่ได้จากการติดตา
        2) ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
        3) ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร
      4) ผสมดินปุ๋ยคอกจำนวน 5 กิโลกรัม และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตจำนวน 500 กรัม เข้าด้วยกัน กลบดินลงหลุมให้สูง         กว่าระดับดินเดิมประมาณ 20 -30 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นโขดดิน แต่ถ้าเป็นพื้นที่ดอน   
        5) ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุมบนโขดดิน
        6) ใช้มีดที่คมกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาถึงปากหลุมทั้ง 2 ด้าน (ซ้ายและขวา)
       7) ดึงถุงพลาสติกออกโดยระวังอย่าให้ดินแตก
        8) กดดินบริเวณโดนต้นให้แน่น
        9) ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมโยก
      10) หาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่นฟางข้าว หญ้าแห้ง
     11) รดน้ำให้ชุ่ม
      12) ทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสงแดด
 

ปลูกหญ้า

มีวิธีการปลูกเมล็ดหญ้ามาฝากกกก เพื่อมีคนอยากจะปลูกกก
การผลิตเมล็ดหญ้าพันธุ์ใหม่
                    ปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โคนม เพิ่มขึ้นอย่างมากทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนด้านอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารหยาบซึ่งใช้เป็นอาหารหลักและส่วนใหญ่ก็คือหญ้า ทั้งนี้กรมปศุสัตว์ก็ได้เร่งส่งเสริมให้เกษตรกรมีการปลูกสร้างแปลงหญ้าเพิ่มมากขึ้น พันธุ์หญ้าที่ใช้ส่วนใหญ่ ได้แก่ หญ้ารูซี่ หญ้ากินนีสีม่วง ทั้งนี้เนื่องจากว่าหญ้าดังกล่าวสามารถเจริญเติบโตได้ดีในหลายพื้นที่ของประเทศไทย
                    อย่างไรก็ตามกรมปศุสัตว์โดยกองอาหารสัตว์ ก็ยังไม่ได้หยุดยั้งการพัฒนาด้านพืชอาหารสัตว์เพียงเท่านี้ จึงได้มีการนำพันธุ์หญ้าชนิดใหม่ ๆ เข้ามาศึกษาเพื่อใช้ปลูกสร้างทำเป็นแปลงหญ้าเลี้ยงสัตว์เพื่อแนะนำส่งเสริมแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ หญ้าอะตราตัม (Paspalum atratum ) ก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ พันธุ์ที่ได้นำมาศึกษา และจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าหญ้าชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในพื้นที่แห้งแล้งและมีน้ำท่วมขัง ลักษณะเป็นหญ้าที่มีใบดก ลำต้นใหญ่ แตกกอ ออกดอกและติดเมล็ดได้ดี มีแนวโน้มว่าจะสามารถส่งเสริมให้เกษตรกรนำไปปลูกเป็นแปลงหญ้าเลี้ยงสัตว์ต่อไป ในปีที่ผ่านมา ศูนย์/สถานีในสังกัดกองอาหารสัตว์ได้ขยายพันธุ์เมล็ดหญ้าอะตราตัมโดยวิธีการต่าง ๆ จากเมล็ดพันธุ์ 30 ก.ก. ในพื้นที่ปลูก 80 ไร่ ได้เมล็ดพันธุ์ถึง 3,378 ก.ก.
การเก็บเกี่ยวโดยวิธีคลุมช่อดอก
                    หญ้าอะตราตัมสามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์แตกต่างกันในแต่ละสภาพพื้นที่ ซึ่งพบว่าพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีศักยภาพในด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์ดีที่สุดเฉลี่ย 68 ก.ก./ไร่ ภาคเหนือให้ผลผลิตเฉลี่ย 37 ก.ก./ไร่ และภาคกลางให้ผลผลิตเฉลี่ย 24 ก.ก./ไร่ ในขณะที่พื้นที่ภาคใต้มีการติดเมล็ดน้อยมากจนไม่สามารถที่เก็บเมล็ดพันธุ์ได้เลย แต่จะมีการเจริญเติบโตในส่วนของลำต้นและใบได้ดี
                    การปลูกระยะ 1 x 1 เมตร จะให้ผลผลิตเมล็ดสูง สะดวกและง่ายต่อการเข้าไปจัดการแปลงหญ้าเช่น การปราบวัชพืช ใส่ปุ๋ยและการเก็บเกี่ยวดีกว่าการปลูกระยะต่าง ๆ ที่ชิดกว่า 1 เมตร
                    ผลผลิตเมล็ดพันธุ์จากการเก็บเกี่ยวโดยวิธีทำเปลมุ้งเขียวรองช่อดอก จะให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์สูงที่สุด 124 กก./ไร่ การเก็บเกี่ยวโดยวิธีการเกี่ยว-บ่ม ให้ผลผลิต 108 ก.ก./ไร่ และวิธีการคลุมช่อดอกให้ผลผลิต 85 ก.ก./ไร่ สำหรับวิธีการมัดช่อดอกแล้วเคาะนั้นจะให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ 62.5 ก.ก./ไร่
   
   หญ้าอะตราตัม                           ช่อดอกหญ้าอะตราตัม
                    สรุปได้ว่า การปลูกหญ้าอะตราตัมเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์นั้น พื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีศักยภาพการผลิตดีที่สุด ควรใช้ระยะปลูก 1 x 1 เมตร และเก็บเกี่ยวโดยวิธีการเกี่ยวช่อดอกแล้วบ่มน่าจะเป็นวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสม เนื่องจากว่าจะลดค่าใช้จ่ายในด้านการเก็บเกี่ยวลง แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติต้องมีการสังเกตุการสุกแก่ของเมล็ดและกำหนดวันเก็บเกี่ยวที่แน่นอน เนื่องจากว่าหญ้าอะตราตัมเมื่อแก่แล้วเมล็ดจะร่วงค่อนข้างเร็ว
1 กองอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์

รถไฟฟ้า...

เรานั่งแต่รถไฟฟ้ากันมา แต่เราเคยรู้ประวัติมันบ้างไหมว่ามันมีตั้งแต่สมัยไหน แล้วใครให้มี
วันนี้เราจะได้รู้กันนนนน
ตั้งใจอ่านนะ 5555+

ประวัติรถไฟไทย



   ปีรัตนโกสินทร์ศก 105 ตรงกับปี พ.ศ. 2429 กิจการรถไฟได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นครั้งแรก เมื่อรัฐบาลได้อนุมัติสัมปทานแก่บริษัทชาวเดนมาร์กให้สร้างทางรถไฟจาก กรุงเทพฯถึงสมุทรปราการ ระยะทาง 21กิโลเมตร หลังจากนั้นในเดือนตุลาคมพ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งกรมรถไฟหลวง ขึ้นสังกัดกระทรวงโยธาธิการ
   ครั้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 พระองค์จึงเสด็จทรงประกอบ พระราชพิธีเปิดการเดินรถไฟ ระหว่างกรุงเทพฯ-อยุธยา ระยะทาง 71 กิโลเมตรซึ่งทางการได้ถือเอาวันนี้เป็นวันสถาปนากิจการรถไฟหลวง
   ความกว้างของรางเมื่อแรกสร้างทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นรางกว้าง 1.435 เมตร ระยะทางทั้งหมด 1,076 กิโลเมตร ส่วนทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเป็น รางกว้าง 1.00 เมตร ที่สร้างเป็นรางขนาด 1.00 เมตรก็เพื่อให้มีขนาดเท่ากับของประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย คือ มาเลเซีย พม่า เขมร ต่อจากนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงให้เปลี่ยนรางขนาด 1.435 เมตร ทางฝั่งตะวันออก ที่สร้างไปแล้วทั้งหมด เป็นขนาด 1.00 เมตร โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 10 ปี แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2469 และต่อมาในปี 2504 ได้เริ่มโครงการ Dieselization โดยทยอยจัดหา รถจักร ดีเซลมาใช้แทนรถจักรไอน้ำ ซึ่งใช้เวลา 14 ปี จึงแล้วเสร็จในระหว่างสงครามโลก ครั้งที่ 2 กิจการรถไฟประสบภัยสงครามอย่างหนักทรัพย์สินทั้งทางอาคารและ รถจักร ล้อเลื่อน ได้รับความเสียหายมากจำต้องเร่งบูรณะฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิม โดยเร็วถ้าจะ อาศัยเงินลงทุนจากงบประมาณ ของรัฐแหล่งเดียวจะไม่ทันการณ์ รัฐบาลจึงต้องขอกู้เงิน จากธนาคารโลกมาสมทบในระหว่างการเจรจากู้เงินนั้นธนาคารโลกได้เสนอให้รัฐปรับปรุง องค์กรของกรมรถไฟหลวงให้มีอิสระกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวใน การบริหารกิจการในเชิงธุรกิจกรมรถไฟหลวง จึงเปลี่ยนฐานะมาเป็นรัฐวิสาหกิจประเภท สาธารณูปการ ภายใต้ชื่อว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 เป็นต้นมา โดยดำเนินการอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การรถไฟฯ ฉบับ พ.ศ. 2494 ซึ่งในหลักการรัฐคุมการแต่งตั้งและปลดผู้บริหาร คุมอัตราเงินเดือน - พนักงาน คุมอัตราค่าโดยสาร และค่าระวาง คุมการปิดเปิดเส้นทางและการบริการ และคุมการลงทุนทั้งหมด แต่หากดำเนินงานขาดทุนรัฐจะชดเชย ให้เท่าจำนวนที่ขาด
เป็นไงมั่งประวัติของมันนน รู้แล้วใช่ไหมว่ามันเกิดมาตั้งแต่สมัยไหน....

วันสำคัญต่างๆของประเทศญี่ปุ่น

วันสำคัญของประเทศแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่าง เช่น ประเทศญีปุ่น...
มันมีวันสำคัญที่แปลกๆดี

fwdmail
เป็นที่กล่าวขานกันว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เก่งเรื่องการสร้างเทศกาลต่างๆ ทำให้ญี่ปุ่นมีวันสำคัญและวันที่ระลึกต่างๆที่แปลกประหลาดมากๆ เวลาบอกชื่อวันสำคัญหรือวันที่ระลึกของญี่ปุ่นให้คนประเทศอื่นฟัง เขาก็อาจจะงงได้ว่า มีวันแบบนี้ด้วยเหรอ
ในบทความนี้จึงขอทำการเล่าสู่กันฟังว่าวันสำคัญและวันที่ระลึกต่างๆของญี่ปุ่นในปีๆนึงนั้นมีวันอะไรกันบ้าง และมีความสำคัญหรือความประหลาดอย่างไร ก่อนอื่นขอทำการแบ่งวันสำคัญของญี่ปุ่นออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. วันสำคัญที่เป็นวันหยุดราชการ , 2. วันสำคัญที่ไม่ใช่วันหยุดแต่เป็นพิธีกรรม และ 3. วันที่ระลึกประหลาดๆ
1. วันสำคัญที่เป็นวันหยุดราชการ วันสำคัญที่เป็นวันหยุดราชการของญี่ปุ่น มีทั้งหมด 14 วันในญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการกำหนดวันสำคัญ เนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นมีความเห็นว่า หากมีวันหยุดในวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันจันทร์ จะทำให้การทำงานต่างๆขาดความต่อเนื่องได้ เพื่อส่งเสริมให้การทำงานต่างทั้งในส่วนราชการและเอกชนมีความต่อเนื่องมากที่สุด จึงตัดสินใจกำหนดวันสำคัญหลายๆวัน ให้เป็นวันจันทร์ ซึ่งจะทำให้มีวันหยุด 3 วันติดต่อกันคือ เสาร์ , อาทิตย์ และจันทร์ ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าหยุดติดต่อกันหลายๆ วันว่า Renkyuu ใครที่สงสัยว่าทำไมญี่ปุ่นมีวันหยุดที่เป็นวันจันทร์เยอะจัง ก็คงหายสงสัยแล้วใช่ไหมครับ เป็นนโยบายส่งเสริมการทำงานของรัฐบาลนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีการตัดวันสิ้นปี (New Year s Eve) นั่นคือวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ออกจากการเป็นวันหยุดราชการตั้งแต่ปี 2001 ด้วย
วันสำคัญที่เป็นวันหยุดราชการของญี่ปุ่นในปัจจุบันมีดังนี้
01. วันขึ้นปีใหม่  อ่านว่า Gantan / ชื่อภาษาอังกฤษ : New Year s Day ตรงกับวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี
ความสำคัญ: เป็นวันฉลองการเริ่มต้นของปี


02. วันบรรลุนิติภาวะ
  อ่านว่า Seijin No Hi / ชื่อภาษาอังกฤษ : Coming of Age Day ตรงกับ วันจันทร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม ของทุกปี
ความสำคัญ: จนถึงปี 1999 วันบรรลุนิติภาวะ คือวันที่ 15 มกราคมของทุกปี และถูกเปลี่ยนเป็นวันจันทร์ตั้งแต่ปี 2000 ตามนโยบายของรัฐบาล เป็นวันฉลองการบรรลุนิติภาวะของวัยรุ่นญี่ปุ่น เป็นวันที่ระลึกถึงการได้ขึ้นเป็นผู้ใหญ่ของตนเอง ซึ่งต่อจากนี้จะต้องมีความพยายามและความรับผิดชอบต่างๆ และรู้จักวางแผนในชีวิตด้วยตนเอง หนุ่มสาวที่อายุครบ 20 ปี ในปีนั้น จะมีพิธีฉลองเกิดขึ้นที่อำเภอของเมืองที่ตนเองอยู่ด้วย เรียกว่า (Seijin Shiki)


03. วันที่ระลึกการตั้งประเทศ อ่านว่า Kenkoku Kinenbi / ชื่อภาษาอังกฤษ : National Foundation Day ตรงกับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ของทุกปี
ความสำคัญ: เป็นวันระลึกถึงการก่อตั้งประเทศญี่ปุ่น ส่งเสริมให้คนเกิดมีใจรักชาติ


04. วันวสันตวิษุวัต อ่านว่า Shunbun No Hi / ชื่อภาษาอังกฤษ : First Day of Spring / Vernal Equinox Day ตรงกับประมาณวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี
ความสำคัญ: เป็นวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งกลางวันจะเท่ากับกลางคืน เป็นวันสำหรับชื่นชมธรรมชาติ และเมตตาเอ็นดูต่อสิ่งมีชีวิต

05. วันสีเขียว  อ่านว่า Midori No Hi / ชื่อภาษาอังกฤษ : Greenery Day ตรงกับวันที่ 29 เมษายน ของทุกปี
ความสำคัญ : เป็นวันเกิดของจักรพรรดิองค์ก่อนในสมัยโชวะ นั่นคือ จักรพรรดิโชวะ ปัจจุบันเป็นวันสำหรับระลึกถึงบุญคุณที่ธรรมชาติมีให้แก่มนุษย์

06. วันรัฐธรรมนูญ อ่านว่า Kenpou Kinenbi / ชื่อภาษาอังกฤษ : Constitution Day ตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม ของทุกปี
ความสำคัญ : เป็นวันที่ระลึกถึงการเริ่มใช้รัฐธรรมนูญครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น ทำให้นึกถึงการเติบโตและพัฒนาของประเทศญี่ปุ่น


07. วันเด็ก อ่านว่า Kodomo No Hi / ชื่อภาษาอังกฤษ : Children s Day ตรงกับวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี
ความสำคัญ : เป็นวันที่ฉลองความเป็นเด็ก และขอบคุณมารดา นอกจากนี้ยังเป็นวันเทศกาลเด็กผู้ชายด้วย  Tango No Sekku

* หมายเหตุ วันหยุดยาวในช่วงนี้ คือช่วงราวๆวันที่ 3-5 พฤษภาคม เรียกกันว่า Golden Week ของญี่ปุ่น

08. วันแห่งทะเล อ่านว่า Umi No Hi / ชื่อภาษาอังกฤษ : Marine Day ตรงกับวันจันทร์ที่ 3 ของเดือนกรกฏาคม ของทุกปี
ความสำคัญ : จนถึงปี 1999 วันแห่งทะเล คือวันที่ 20 กรกฏาคมของทุกปี และถูกเปลี่ยนเป็นวันจันทร์ตั้งแต่ปี 2000 ตามนโยบายของรัฐบาล เป็นวันแห่งการขอบคุณถึงบุญคุณของทะเล และอวยพรขอให้ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศแห่งมหาสมุทรเจริญรุ่งเรืองต่อไป


09. วันเคารพผู้สูงอายุ อ่านว่า Keirou No Hi / ชื่อภาษาอังกฤษ : Respect-for-senior-citizens Day ตรงกับวันจันทร์ที่ 3 ของเดือนกันยายน ของทุกปี
ความสำคัญ : จนถึงปี 1999 วันแห่งทะเล คือวันที่ 17 กันยายนของทุกปี และถูกเปลี่ยนเป็นวันจันทร์ตั้งแต่ปี 2000 ตามนโยบายของรัฐบาล เป็นวันแห่งการเคารพรักผู้สูงอายุที่อยู่ในสังคมมาหลายปี และฉลองความมีอายุยืนยาว


10. วันศารทวิษุวัต อ่านว่า Shuubun No Hi / ชื่อภาษาอังกฤษ : First Day of Autumn / Autumnal Equinox Day ตรงกับประมาณวันที่ 23 กันยายน ของทุกปี
ความสำคัญ : เป็นวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งกลางวันจะเท่ากับการคืน เป็นวันสำหรับเคารพบรรพบุรุษ และระลึกถึงผู้คนที่เสียชีวิตไปแล้ว


11. วันแห่งกีฬา อ่านว่า Taiiku No Hi / ชื่อภาษาอังกฤษ : Sports Day / Health Sports Day ตรงกับวันจันทร์ที่ 2 ของเดือนตุลาคม ของทุกปี
ความสำคัญ : จนถึงปี 1999 วันแห่งทะเล คือวันที่ 10 ตุลาคมของทุกปี และถูกเปลี่ยนเป็นวันจันทร์ตั้งแต่ปี 2000 ตามนโยบายของรัฐบาล เป็นวันที่ส่งเสริมให้คนรักกีฬาและมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง


12. วันวัฒนธรรม  อ่านว่า Bunka No Hi / ชื่อภาษาอังกฤษ : Culture Day ตรงกับวันที่ 3 พฤศจิกายน ของทุกปี
ความสำคัญ : เป็นวันส่งเสริมให้คนรักอิสระเสรีภาพ และส่งเสริมวัฒนธรรม


13. วันขอบคุณแรงงาน  อ่านว่า Kinrou Kansha No Hi / ชื่อภาษาอังกฤษ : Labor Thanksgiving Day ตรงกับวันที่ 23 พฤศจิกายน ของทุกปี
ความสำคัญ : เป็นวันหยุดพักจากการทำงานมาตลอดปี ฉลองการผลิตที่ตนได้ทำ และส่งเสริมให้คนในประเทศญี่ปุ่นขอบคุณซึ่งกันและกัน


14. วันเกิดจักรพรรดิ์  อ่านว่า Tennou Tanjyoubi / ชื่อภาษาอังกฤษ : The Emperor s Birthday ตรงกับวันที่ 23 ธันวาคม ของทุกปี
ความสำคัญ : เป็นวันฉลองวันเกิดของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน

*หากวันหยุดราชการตรงกับวันอาทิตย์ วันถัดไป(วันจันทร์)จากวันนั้นจะเป็นวันหยุดราชการด้วย
*******************

2. วันสำคัญที่ไม่ใช่วันหยุดแต่เป็นพิธีกรรม
วันเหล่านี้เป็นเทศกาลสำคัญต่างๆของญี่ปุ่น ที่ถือเป็นพิธีกรรม แต่ไมใช่วันหยุดราชการ

01. วันก่อนเข้าฤดูใบไม้ผลิ  อ่านว่า Setsubun ตรงกับวันที่ 3 หรือ 4 กุมภาพันธ์ของทุกปี
ความสำคัญ : เป็นวันที่หว่านเมล็ดถั่วเพื่อกำจัดความชั่วร้าย และนำความสุขความโชคดีเข้าสู่ตนเอง

02. เทศกาลฮินะ  อ่านว่า Hina Matsuri ตรงกับวันที่ 3 มีนาคม ของทุกปี
ความสำคัญ : เป็นเทศกาลของเด็กผู้หญิงเพื่อฉลองการประดับตุ๊กตา

03. วันแม่ อ่านว่า Haha No Hi ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม ของทุกปี
04. วันพ่อ อ่านว่า Chichi No Hi ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน ของทุกปี)
05. วันทานาบาตะ  อ่านว่า Tanabata No Hi ตรงกับวันที่ 7 กรกฏาคม ของทุกปี)
ความสำคัญ : เป็นวันประดับดวงดาว เนื่องจากตำนานที่ว่าในปีหนึ่งดาวคนเลี้ยงวัว (Kengyuusei) จะมีพบกับดาวหญิงทอผ้า ที่ทั้งสองข้างของฝั่งแม่น้ำสวรรค์ (ทางช้างเผือก) เพียงครั้งเดียว ซึ่งคือในวันนี้


06. โอบ้ง อ่านว่า Obon ตรงกับวันที่ 13-16 สิงหาคมของทุกปีโดยประมาณ (ในบางพื้นที่คือวันที่ 13-16 กรกฏาคมของทุกปี)
ความสำคัญ : เป็นช่วงเวลาที่เชื่อกันว่าบรรพบุรุษที่ตายไปแล้วจะกลับมาที่โลกนี้ในช่วงต้นของช่วงเวลา และกลับไปที่โลกเก่าอีกครั้งในช่วงปลายของช่วงเวลา ส่วนมากบริษัทต่างๆจะหยุดยาวเพื่อให้พนักงานกลับไปทำความเคารพหลุมศพของบรรพบุรุษของตนเองที่บ้านเกิด


07. เทศกาล 753 อ่านว่า Shichigosan ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายนของทุกปี
ความสำคัญ : เป็นเทศกาลฉลองการเติบโตของเด็กชายและหญิงอายุ 3 ขวบ , เด็กชายอายุ 5 ขวบ และเด็กหญิงอายุ 7 ขวบ

*******************

3. วันที่ระลึกประหลาดๆ
วันที่ระลึกประหลาดๆมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งวันเหล่านี้ ที่ได้รับการบัญญัติอย่างเป็นทางการจากสมาคมวันที่ระลึกแห่งประเทศญี่ปุ่นแล้ว จึงขอทำการแนะนำวันที่น่าสนใจบางวันที่เลือกมาจากแต่ละเดือนดังนี้

01. วันแห่งภาพยนตร์  Eiga No Hi ตรงกับวันที่ 1 ของทุกๆ เดือน
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนไปดูภาพยนตร์


02. วันแห่งการจราจรปลอดภัย Koutsuu Anzen No Hi ตรงกับวันที่ 1 ของทุกๆ เดือน
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนขับรถอย่างปลอดภัย ไม่ขับรถด้วยความเร็ว

03. วันแห่งข้าว Okome No Hi ตรงกับวันที่ 8 และ 28 ของทุกๆเดือน
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ระลึกถึงข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวญี่ปุ่น

04. วันแห่งความรัก , ความปรารถนา และความกล้าหาญ อ่านว่า Ai To Kibou To Yuuki No Hi ตรงกับวันที่ 14 มกราคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เมื่อ 14 มกราคม 1959 เป็นวันที่เฮลิคอปเตอร์ที่บินออกจากเรือสังเกตุการณ์ขั้วโลกใต้ที่ชื่อ Souya ได้บินจอดถึงฐานทัพโชวะ และพบว่าสุนัขทหารที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ที่ฐานทัพเมื่อปีก่อนหน้าจำนวน 15 ตัว มีชีวิตรอเพียง 2 ตัว คือสุนัขชื่อ ทาโร่ และ จิโร่


05. วันแห่งแกงกระหรี่ Curry No Hi ตรงกับวันที่ 22 มกราคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทำและรับประทานแกงกะหรี่

06. วันแห่งการปวดหัว  Zutsuu No Hi ตรงกับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ไม่ให้คนทำอะไรมากเกินไปจนปวดหัว

07. วันแห่งชาเขียว Maccha No Hi ตรงกับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ

08. วันแห่งนามสกุล  Myouji No Hi ตรงกับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นที่ระลึกสำหรับการเริ่มใช้นามสกุลเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปีเมจิที่ 8

09. วันวาเลนไทน์  Valentine s Day และ วันแห่งชอกโกแล็ต Chocolate No Hi ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่สืบทอดมาจากต่างประเทศ ที่หนุ่มสาวจะให้ของขวัญแก่กันเพื่อแสดงความรัก สำหรับในญี่ปุ่น เป็นวันที่ผู้หญิงจะให้ชอกโกแล็ตแก่ผู้ชายเพื่อแสดงความรัก ซึ่งแพร่หลายขึ้นมาจากการโฆษณาของบริษัทผลิตชอกโกแล็ตของญี่ปุ่น สมาคมชอกโกแล็ตและโกโก้ จึงบัญญัติวันนี้ขึ้นมาเป็นวันแห่งชอกโกแล็ตด้วย

10. วันแห่งแมว Neko No Hi ตรงกับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เนื่องจากแมวที่ญี่ปุ่นร้องด้วยคำที่ขึ้นต้นด้วยคันจิที่เหมือนกับเลข 2 ด้วยกัน 3 อัน วางเรียงกันได้เป็น 222 ซึ่งแปลงเป็นวันที่ได้วันที่ 2/22


11. วันแห่งบันไดเลื่อน  Escalator No Hi ตรงกับวันที่ 9 มีนาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันแรกที่มีการใช้บันไดเลื่อนขึ้นที่ห้างมิตสึโกชิ สาขา นิฮงบาชิ  ในวันที่ 9 มีนาคม ปีไทโช ที่ 3

12. วันสีขาว White Day และ วันแห่งลูกกวาด Candy No Hi ตรงกับวันที่ 14 มีนาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่มีคู่กับวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันที่ผู้ชายให้ของตอบแทนแก่ผู้หญิงที่ให้ชอกโกแล็ตกับตนในวันวาเลนไทน์ โดยสิ่งของที่ให้จะต้องเป็นสีขาว ทางสมาคมลูกกวาดแห่งประเทศญี่ปุ่น ต้องการรณรงค์ให้คนให้สิ่งของเป็นลูกกวาด จึงตั้งวันนี้เป็นวันแห่งลูกกวาด

13. วันแห่งซากุระ Sakura No Hi  ตรงกับวันที่ 27 มีนาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : สมาคมซากุระแห่งประเทศญี่ปุ่น ตั้งวันนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับการบานของดอกซากุระ ที่โดยเฉลี่ยจะบานเต็มที่ในวันนี้มากที่สุด

14. วันแห่งกระเทย  อ่านว่า Okama No Hi ตรงกับวันที่ 4 เมษายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่อยู่ระหว่างกลางของวันเทศกาลลูกท้อ  Momo No Sekku เป็นวันสำหรับเด็กผู้หญิง ซึ่งคือวันที่ 3 มีนาคม (3/3) และวันเทศกาลเด็กผู้ชาย  Tango No Sekku ซึ่งคือวันที่ 5 พฤษภาคม (5/5) จึงตั้งวันที่อยู่กึ่งกลางนั่นคือวันที่ 4 เมษายน (4/4) เป็นวันสำหรับคนครึ่งหญิงครึ่งชาย นั่นคือกระเทย (คำว่า Okama แปลว่า กระเทย)

15. วันแห่งเซนต์จอร์ดี้  St.Jordi s Day ตรงกับวันที่ 23 เมษายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่ผู้ชายให้ดอกกุหลาบแก่ผู้หญิง และผู้หญิงให้หนังสือเป็นของขวัญแก่ผู้ชาย ซึ่งเกิดขึ้นจากความเคลื่อนไหวของวงการสิ่งพิมพ์เมื่อปี 1987 โดยมีที่มาจากประเพณีของประเทศสเปน ในย่านบาร์เซโลน่า เพื่อต้องการชื่นชมนักรบเทพผู้ปกป้องเมืองชื่อ เซนต์ จอร์ดี้ ด้วยประเพณีที่ผู้ชายให้ดอกกุหลาบแก่ผู้หญิง และผู้หญิงให้ของแก่ผู้ชาย

16. วันแห่งขยะ Gomi No Hi ตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทิ้งขยะโดยแยกชนิดของขยะอย่างถูกต้อง

17. วันแห่งนาโกย่า Nagoya No Hi ตรงกับวันที่ 8 พฤษภาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ที่ทำการเมืองนาโกย่าตั้งวันนี้ขึ้นมาเมื่อปี เฮเซ ที่ 8 เป็นช่วงเทศกาลนาโกย่า


18. วันแห่งการท่องเที่ยว Tabi No Hi ตรงกับวันที่ 16 พฤษภาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น

19. วันแห่งรูปถ่าย Shashin No Hi ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : สมาคมรูปถ่ายแห่งประเทศญี่ปุ่น ตั้งวันนี้ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการถ่ายรูป

20. วันแห่งนม Milk No Hi ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนดื่มนม

21. วันแห่งอุด้ง Udon No Hi ตรงกับวันที่ 2 กรกฏาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนรับประทานอุด้ง

22. วันแห่งเรือเหาะตีลังกา  Jet Coaster No Hi ตรงกับวันที่ 9 กรกฏาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันแรกที่มีเรือเหาะตีลังกาติดตั้งในสวนสนุกที่ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 9 กรกฏาคม ปีโชวะที่ 30

23. วันแห่งแฮมเบอร์เกอร์ Hamberger No Hi ตรงกับวันที่ 20 กรกฏาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 20 กรกฏาคม ปีโชวะที่ 46 เป็นวันแรกที่มีร้าน แมคโดนัล เปิดขึ้นในญี่ปุ่น ที่ชั้นหนึ่งของห้างมิทสึโกชิ ในย่านกินซ่า

24. วันแห่งหมากรุกญี่ปุ่น Majyan No Hi ตรงกับวันที่ 1 สิงหาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนเล่นหมากรุกญี่ปุ่น


25. วันแห่งคนอ้วน Debu No Hi ตรงกับวันที่ 8 สิงหาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่ระลึกสำหรับคนอ้วน

26. วันแห่งเนื้อย่าง Yakiniku No Hi ตรงกับวันที่ 29 สิงหาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทานเนื้อย่าง ตั้งโดยสมาคมเนื้อย่างแห่งประเทศญี่ปุ่น

27. วันแห่งผัก  Yasai No Hi ตรงกับวันที่ 31 สิงหาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทานผัก

28. วันเกิดโดราเอม่อน  Doraemon No Tanjyoubi ตรงกับวันที่ 3 กันยายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันแรกที่การ์ตูนเรื่องโดราเอม่อนถูกเขียนขึ้นมาเมื่อวันที่ 3 กันยายน ปีโชวะที่ 45

29. September Valentine's Day  ตรงกับวันที่ 14 กันยายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : วันครบครึ่งปีพอดีหลังจากวัน White Day (14 มีนาคม) ซึ่งหากผู้ชายถูกผู้หญิงที่ตนตกลงยอมรับความรักเลิกในวันนี้ ก็จะถือว่าไม่เป็นอะไร

30. วันแห่งเหล้าญี่ปุ่น Nihonshu No Hi ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนดื่มเหล้าญี่ปุ่น

31. วันแห่งสุนัข Inu No Hi ตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ส่งเสริมให้คนรักและระลึกถึงสุนัข

32. วันแห่งอพาร์ตเม้นท์  Apartment No Hi ตรงกับวันที่ 6 พฤศจิกายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 6 พฤศจิกายน ปีเมจิที่ 43 เป็นวันแรกที่มีอพาร์ตเม้นท์ตั้งขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ในย่านอุเอโนะ ในโตเกียว

33. วันป๊อกกี้และปริทซ์  Pocky&PRETZ No Hi ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : กูลิโกะ บริษัทผลิต ป๊อกกี้และปริทซ์ ตั้งวันป๊อกกี้และปริทซ์ ขึ้นมาเมื่อ ปีเฮเซที่ 11 เดือน 11 วันที่ 11 หากนำวันและเดือนและปี มาเขียนเรียงติดกัน ก็จะได้เป็น 111111 ซึ่งเหมือนกับแท่งป๊อกกี้และปริทซ์ 6 แท่ง ในโฆษณาของป๊อกกี้เอง ก็มีการโชว์แท่งป๊อกกี้ 4 แท่งในมือของพรีเซนเตอร์ด้วย (เพราะว่าปีเฮเซที่ 11 เลยมาแล้ว) จุดประสงค์ที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา คงไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการส่งเสริมการขายป๊อกกี้ มีการจัดแคมเปญต่างๆเกี่ยวกับป๊อกกี้และปริทซ์ในวันที่11/11 ของทุกๆปีด้วย


34. วันแห่งโรงแรม Hotel No Hi ตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 20 พฤศจิกายน ปีเมจิที่ 23 เป็นวันแรกที่ Teikoku Hotel โรงแรมแห่งแรกในญี่ปุ่นเปิดให้ใช้บริการ


35. วันแห่งไก่ทอด Fried Chicken No Hi ตรงกับวันที่ 21 พฤศจิกายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 21 พฤศจิกายน ปีโชวะที่ 45 เป็นวันแรกที่มีร้านไก่ทอด เคนตักกี้ เปิดในญี่ปุ่น ที่นาโกย่า

36. วันแห่งโซบะ  Soba No Hi ตรงกับวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เนื่องจากชาวญี่ปุ่นมีประเพณีการทานโซบะข้ามปี  Toshikoshi Soba จึงบัญญัติวันนี้ขึ้นเป็นวันรณรงค์การทานโซบะ

    ประเทศญี่ปุ่นนนนนนน

มนต์ดำ

 
 
 
 
เรามารู้จักกับมนต์ดำ กันดีกว่า
แต่ที่ยกมา เป็นแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น 555
 

เผยเคล็ดลับ วิธีทำและวิธีแก้คุณไสย...มนต์ดำแห่งความตาย

คุณไสยเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง ที่ว่าด้วยความตายและความโชคร้ายของฝ่ายตรงข้าม
ไม่มีใครรู้ว่า คุณไสยนั้นมีจริงหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่มีใครกล้าที่จะลองดีเช่นกัน
กล่าวกันว่า เรื่องราวของคุณไสยนั้นมีมานานแล้ว นับตั้งแต่โบราณกาล และมีอยู่ทั่วโลกไม่เฉพาะแต่ในเมืองไทยเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณไสยต่าง ๆ ก็มีที่มาคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะของในเอเชีย และแอฟริกา
สำหรับคุณไสยของคนแอฟริกันนั้น เป็นพิธีการของลัทธิ " วูดู " ที่พวกหมอผีนิยมมาใช้เพื่อบังคับคนในเผ่าให้อยู่ในโอวาทหรือใช้วิชาไสยดำอันนี้ไปพิฆาตศัตรูที่อยู่ต่างเผ่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะใช้วิธีปั้นรูปขึ้นมา แล้วเอาเศษเสื้อผ้า ผม เล็บ หรือแม้แต่เลือด อย่างใดอย่างหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามใส่เข้าไปในหุ่น แล้วทำพิธีบวงสรวง ก่อนที่จะทำร้ายหุ่นด้วยการแทงลงไปบนส่วนต่าง ๆของร่างกาย หรือแม้แต่นำไปย่างไฟ ก็จะทำให้คนที่โดนคุณไสยได้รับความเจ็บปวดทุกขเวทนาแสนสาหัส
สำหรับคุณไสยในเอเชีย นั้น แพร่หลายในแถบลุมอินโดจีน ที่มีชื่อเสียงและหวาดกลัวกันมาก ก็คือ " คุณไสยของเขมร " และ " คุณไสยของมาเลเซีย " หรือคุณไสยมลายูที่เราเรียกันว่า " หมอแขก " นั่นเองมีผู้รู้ในเรื่องเกี่ยวกับคุณไสยกล่าวว่า คุณไสยของเขมรนั้นที่โด่งดังที่สุด ก็คือ เสกเนื้อหรือหนังควายเข้าไปอยู่ในท้อง ทำให้คนที่โดนคุณไสยรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ในขณะที่คุณไสยมาเลเซีย จะครบเครื่องทั้งเรื่องหนังและกระดูก ไปจนถึงการบังคับวิญญาณผีที่ดุร้ายให้เข้าไปสิงอยู่ในร่างคน
อับดุล กาเซร์ ราฮิม หมอผีชาวปะลิส มาเลเซีย เคยกล่าวเอาไว้ในหนังสือฉบับหนึ่งว่า การทำคุณไสยในมาเลเซียนั้น ถ้าหากไม่โกรธแค้นกันอย่างจริงจังแล้ว มักจะไม่ทำกัน เพราะว่าเมื่อเสกของเข้าไปแล้วจะแก้ยาก อีกทั้งคนที่โดนคุณไสยส่วนใหญ่มักจะไม่รอด
ในขณะเดียวกัน อาจารย์ฟาติมะ มหารัตน์ หมอผีชื่อดังชาวไทยอีกคนหนึ่งซึ่งศึกษเรื่องเกี่ยวกับคุณไสยมลายูมาอย่างช่ำชอง จนได้ชื่อว่าเป็นหมอแขกเพียงหนึ่งเดียวในเมืองไทย ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากที่สุด ได้กล่าวถึงเรื่องราวของการทำคุณไสยเอาไว้ว่าคนที่โดนวิญญาณจากการทำคุณไสยของหมอผีชาวมาเลเซีย ถ้าหากโดนผีเข้าสิงก็จะมีนิสัยดุร้าย ชอบทำร้ายคนอื่นเหมือนกับคลุ้มคลั่ง บางทีก็ชอบกินเนื้อหรืออาหารสด ๆ คาว ๆ โดยเฉพาะเลือด
เนื่องจากว่าถ้าหากไม่กินของเหล่านี้เข้าไป วิญญาณที่สิงอยู่ในกายก็จะกินตับไตของตัวเองแทน จนโทรมและเน่าตายไปในที่สุด
ส่วนคุณไสยในประเทศไทยนั้น แบ่งออกเป็นหลายเพราะได้รับอิทธิมาจากต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากหมอผีไทยไม่ใคร่นิยมทำของกันมากนักนอกจากเล่นวิชาผีบังคับวิญญาณอย่างเดียว
วิชาคุณไสยที่แพร่หลายอยู่ในหมอผีชาวไทยและได้รับความเชื่อเรียกใช้มากที่สุด จะเป็นคุณไสยสายที่ได้รับอิทธพล มาจากเขมร เนื่องจากคุณไสยสายนี้มีทั้งดีและทั้งร้าย ไม่เหมือนคุณไสยของมาเลเซีย กับ อินโดนีเซียที่ส่วนมากจะเล่นกันถึงตาย และมีไว้สำหรับฆ่าคนเท่านั้นแต่คุณไสยของเขมรซึ่งแพร่หลายเข้ามาทางกลุ่มของชาวส่วย ที่มีอาชีพเลี้ยงช้างในจังหวัดสุรินทร์นั้น แบ่งแยกออกอีกหลายวิชา ไม่ว่าจะทำให้คนบ้า หรือว่าฝังรูป ฝังรอย ทำให้คนรักคนหลง หรือแม้แต่ทำให้ผัวเมียแตกแยกเลิกร้างกัน ดังนั้นจึงทำให้คุณไสยสายนี้ได้รับความนิยมและมีคนเรียกใช้แพร่หลายมากที่สุดในประเทศไทย
กล่าวกันว่า บรรดาผู้ที่ร่ำเรียนวิชาคุณไสยนั้น จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษไม่เหมือนกับผู้อื่น กล่าวคือ สมาธิจะต้องแน่วแน่ มีพลังจิตสูง
" พวกที่เล่นไสยศาตร์จะต้องนั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง ตอนเช้ากับหลังจากตื่นนอน หรือเมื่อพิธีใหญ่ ๆ ก็อาจจะต้องเพิ่มรอบมิดเดย์ มิดไนท์ และต้องถือศีลอย่างเคร่งครัด "อนัตตา นักเขียนผู้ร่ำเรียวิชาทางด้านวิทยาศาตร์ แต่หันมาสนใจเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ลงทุนหาข้อมูลมาเปรียบเทียบกันกล่าวเอาไว้ในนิตยสารฉบับหนึ่ง โดยแยกแยะเอาไว้อีกว่า ไสยศาตร์นั้นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ " ไสยดำ " กับ " ไสยขาว "
คนที่เรียน " ไสยดำ " มานั้นส่วนใหญ่จะเอาวิชาที่ร่ำเรียนมาใช้พิฆาตฝ่ายตรงข้ามและทำตนเป็นคนนอกศาสนา ไม่นับถือสิ่งใดนอกจากครูผู้ประสิทธิ์วิชาให้ คนพวกนี้มีทั้งวิชาที่จะเล่นงานเขาและแก้คุณไสยด้วยตัวเอง
ในขณะเดียวกัน คนที่เล่นคุณไสยประเภท " ไสยขาว " ซึ่งเป็นวิชาที่ใช้กำลังสำหรับแก้ไสยดำนั้น จะเป็นผู้ที่ถือศีลอย่างเคร่งครัดและไม่นิยมเสกของไปเล่นงานใคร นอกจากส่งของนั้นกลับไปให้เจ้าของเดิมผู้ที่ส่งมา ด้วยเกรงว่าถ้าหากใช้อวิชชา ไปเล่นงานเขาแล้ว วิชาของตัวเองจะเสื่อมความแตกต่างของผู้ที่เล่นวิชาไสยศาสตร์ 2 แขนงนี้ ก็คือ คนที่เล่นไสยดำจะหน้าตาหมองคล้ำ ไม่มีราศี ผิดกับผู้ที่เล่นวิชา ไสยขาว สำหรับแก้คุณ ซึ่งหน้าตาอิ่มเอิบ ผ่องใส เพราะไม่มีจิตใจไปหมกมุ่นในอวิชชา อีกทั้งต้องทำบุญทำทาน อุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณร้ายที่ไล่ออกไปจากคนที่ถูกไสยดำเล่นงานอยู่เสมอ
คนที่มีวิชาไสยดำ และ มีวิชาอาคมแก่กล้า กล่าวกันว่าจะมีสีหน้าที่ดำเป็นแถบ ๆ พูดจาเลอะเลือน ไม่ค่อยรู้เรื่อง จนถึงขั้นคล้ายกับวิกลจริตในที่สุด
" คนพวกนี้จะต้องปล่อยของทุกวันพระใครที่ไม่ปล่อยออกจากตัว เก็บสะสมเอาไว้นอกจากเอาไปชิงโชคที่ไหนไม่ได้แล้วอาจจะทำให้เป็นผีปอบได้ " ฟาติมะ มหารัตน์ หมอผีชื่อดังสายมลายูบอกดังนั้น พวกไสยดำทั้งหลาย จึงจำเป็นที่จะต้องปล่อยของไปตามลมเพลมพัด เพื่อขจัดสิ่งที่เกินอำนาจการควบคุมของตนเอง ออกไป เพราะฉะนั้นใครที่เดินอยู่ดี ๆ และ ถึงทีคราวซวยไปรับเอาของที่หมอผีปล่อยมา ก็ต้องมาหาวิธีแก้กันต่อไป
ว่ากันว่าของที่ปล่อยออกไปนั้น อยู่นอกเหนืออำนาจของหมอผีที่จะควบคุมได้ เนื่องจากคุณไสยเหล่านี้มีพลังที่กล้าแกร่งมาก ถึงขนาดถ้าปะทะกิ่งไม้ ก็จะหักเป็นทาง หล่นบนหลังคาบ้านใครก็จะได้ยินเสียงโครมคราม
ดังนั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ในสมัยโบราณถึงได้ห้ามนักห้ามหนาว่าอย่าร้องทัก ถ้าหากได้ยินเสียงประหลาดต่าง ๆ เพราะจะทำให้ของที่ปล่อยมาเข้าตัวได้ง่าย
ข้อสำคัญคืออย่าตกใจ ทำจิตให้สงบ เพราะคนที่โดนคุณไสยเล่นงานนั้น ส่วนมากจะเป็นคนที่ดวงตก หรือไม่ก็ถึงคราวที่กรรมเก่าตามสนองเท่านั้นซึ่งสำหรับข้อนี้ มีวิธีแก้เคล็ดที่นิยมทำกันมากในสมัยสุโขทัย คือ
" ให้ปั้นรูปปั้นของผู้เคราะห์ร้ายหรือใครที่ดวงตก เป็นตุ๊กตา ตัวเล็ก ๆ  แล้วนำไปทุบหัวทิ้งตามทางสามแพร่งในเวลาโพล้เพล้ เพื่อให้ต๊กตารับเคราะห์แทน หรือแม้แต่เวลาผู้หญิงคนไหนจะคลอดลูก ในสมัยนั้นก็จะปั้นตุ๊กตารูปผู้หญิงอุ้มลูกไปทุบหัวทิ้งเช่นกัน "คุณไสยในเมืองไทยเท่าที่ทราบมานั้นสามารถแบ่งออกไป 2 ชนิด คือ การทำเสน่ห์ และ การทำร้ายชีวิตของผู้อื่น
อย่างแรกหมายถึงทำให้ใครก็ได้หลงรักจนหัวปักหัวปำ ซึ่งในประเภทนี้จะไม่ค่อยเป็นอันตรายเท่าใดนัก เนื่องจากผู้ที่ต้องการทำของทำลงไปด้วยความรัก ไม่ได้ต้องการให้ถึงแก่ชีวิตผิดกับอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งจะต้องตายหรือไม่ก็พินาศกันไปข้างหนึ่ง
สำหรับการทำเสน่ห์ให้หลงรักนี้ แบ่งออกได้ 2 วิธี
คือ 1. การฝังรูปฝังรอย  2. การทำเสน่ห์ยาแฝด
การฝังรูปฝังรอย นั้นเป็นกรรมวิธีที่ทำกันมาตั้งแต่โบราณโดยการปั้นหุ่นขึ้นมา 2 ตัว เป็นผู้หญิง กับ ผู้ชาย โดยใช้ดินจากเจ็ดป่า มาผสมกัน การฝังรูปฝังรอยที่จะทำให้ผู้หญิงกับผู้ชายรักกันนั้น เขาจะปั้นรูปเรียบร้อยตามวิธีการแล้วจะเอาหุ่น 2 ตัวหันหน้าชนกัน.............................................................................( ขออนุญาติ ไม่ลงรายละเอียด เพราะเปรียบเหมือนดาบ 2 คม )
ในทางกลับกัน ถ้าหากอยากให้ผัวเมียคู่นั้นเลิกร้างกันไป นำหุ่นนั้นมาประกบ โดยหันหลังให้กัน
ซึ่งในการปั้นหุ่นเสกคุณไสยนี้ สามารถที่จะทำให้คนที่โดนของคลุ้มคลั่งถึงกับเป็นบ้าได้การทำเสน่ห์เล่ห์กลอีกอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะให้ผู้หญิงกับผู้ชายรักกัน ก็คือ การทำเสน่ห์ยาแฝด ด้วยการใช้น้ำมันพรายไปป้ายตามเนื้อตัวของฝ่ายตรงข้าม แต่ในปัจจุบัน นี้การใช้น้ำมันพรายไม่ใคร่นิยมกันมากนัก เนื่องจากเป็นวิธีง่าย ๆ และแก้ได้ไม่ยากนัก เพราะติดอยู่ที่ผิวหนังเมื่อรดน้ำมนต์หลาย ๆครั้ง ก็จะสามารถแก้ได้ในที่สุด
ที่สำคัญเดี๋ยวนี้หมอผีไม่สามารถที่จะหาน้ำมันพรายมาปลุกเสกได้ง่าย  ๆ อย่างแต่ก่อน เพราะปัจจุบันนี้ชาวบ้านนิยมเผาศพเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้นำศพ ไปฝังในป่าช้าอย่างที่แล้วมา ทำให้ไม่สามารถ ลนน้ำมันพรายได้ นอกจากน้ำเหลืองศพแต่ถึงอย่างไรก็ตาม กรรมวิธีอีกอย่างหนึ่งของการใช้เสน่ห์ ยาแฝด ก็ยังคงอยู่ไม่เสื่อมหายไปไหน นั่นก็คือการใช้ผงกระดูกผีมาเรียกวิญญาณเข้าสิง หรือใช้.....กับ.......มาผสมและปลุกเสกเข้าด้วยกัน แล้วนำของเหล่านั้นไปให้ฝ่ายตรงข้ามรับประทาน
ซึ่งว่ากันว่า กรรมวิธีนี้เป็นการควบคุมวิญญาณ ที่โหดเหี้ยมที่สุดซึ่งส่วนใหญ่เมื่อคุณไสยถูกแก้กลับไป ผู้ที่โดนของประเภทนี้มักมีอาการเศร้าซึมและสติเลอะเลือนไปชั่วชีวิต เนื่องจากจิตที่ปกตินั้นถูกควบคุมนานเกินไป